ข้อมูลประเทศไทย

ข้อมูลประเทศไทย

ที่ตั้ง
    ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อย หรือระหว่างเส้นละติจูดหรือเส้นรุ้งที่ 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องศา 27 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูดหรือเส้นแวงที่ 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลิปดาตะวันออก

    สำหรับที่ตั้งของประเทศไทยตามแนวลองจิจูดนั้น ประเทศไทยยึดเอาลองจิจูดที่ 105 องศาตะวันออกเป็นเวลามาตรฐาน ทำให้ประเทศไทยมีเวลาแตกต่างจากเวลามาตรฐานกรีนิช 7 ชั่วโมง การติดต่อในเชิงธุรกิจกับประเทศใด ๆ มีความจำเป็น ที่จะต้องรู้เวลาของประเทศนั้นว่า แตกต่างจากเวลาในประเทศไทยกี่ชั่วโมง เพื่อให้เกิดความสะดวกและทันเวลา เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีเวลาที่เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง จีน มาเลเซีย มีเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเวลาตรงกันข้ามกับไทย


รูปร่าง
    ประเทศไทยมีรูปร่างเหมือนขวานโบราณ กระบวยตักน้ำ ช่อดอกไม้ หรือม้าน้ำ แต่นักการทหารมองว่าเหมือน "หัวช้าง" โดยส่วนหัวช้าง คือ ภาคเหนือ ส่วนงวง คือ ภาคใต้ ส่วนที่เป็นปาก ได้แก่ บริเวณอ่าวไทย ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และชายฝั่ง ตะวันออก ส่วนหูช้าง คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ด้วยลักษณะรูปร่างดังกล่าว จัดว่ามีข้อด้อยอยู่หลายประการ เช่น รูปร่างที่ยาวเรียวลงไปทางใต้ ทำให้เสียเวลาในการเดิน ทาง และค่าใช้จ่ายในการสร้างเส้นทางคมนาคม รวมถึงการดูแลรักษาประเทศ เช่น การป้องกันชายฝั่งทะเลที่ยาวเหยียด ทั้งสองด้าน นอกจากนี้รูปร่างที่ยื่นออกไปหรือถูกขนาบด้วยประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีปัญหาบริเวณชายแดนอยู่ตลอดเวลา เช่น มีการอพยพโยกย้ายถิ่นเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหาก่อการร้ายและยาเสพติด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องระมัด ระวังเป็นพิเศษ


ขนาด
    ตามการแบ่งขนาดของประเทศทางภูมิศาสตร์การเมือง ไทยจัดเป็นประเทศขนาดใหญ่ อันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ประกอบด้วย อินโดนีเซีย พม่า ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา บรูไน สิงคโปร์) รองจาก อินโดนีเซียและพม่า ใหญ่กว่าลาวประมาณ 2 เท่า ใหญ่กว่ากัมพูชาประมาณ 3 เท่า และมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศ ฝรั่งเศส หรือมลรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา *มีพื้นที่ 513,115.020 ตารางกิโลเมตร หรือ 320,696,887.500 ไร่ (*ข้อมูลพื้นที่จากอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 6 ภาคผนวก พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2529) หรือ ประมาณ 198,953 ตารางไมล์

    การที่ประเทศไทยมีขนาดใหญ่ มีข้อดีในเรื่องของประเภทและปริมาณทรัพยากรธรรมชาติ ความลึกของพื้นที่ทำให้ได ้เปรียบในด้านการป้องกันประเทศ การมีประชากรจำนวนมาก มีผลดีในเรื่องของการใช้แรงงานและความคิด ส่วนความ แตกต่างทางวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค ส่งผลให้มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น


แนวพรมแดน
    มีความยาวของพรมแดนทางบก 5,326 กิโลเมตร ความยาวทางทะเลฝั่งอ่าวไทย 1,840 กิโลเมตร และความยาว ทางฝั่งทะเลอันดามัน 865 กิโลเมตร ความยาวจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถึง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดและใต้สุด ของประเทศ ระยะทาง 1,640 กิโลเมตร และความกว้างจากด่านเจดีย์สามองค์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ถึงช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ระยะทาง 780 กิโลเมตร

    ส่วนที่แคบที่สุด อยู่ในเขต จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งวัดจากพรมแดนสหภาพพม่า ที่ทิวเขาตะหนาวศรีถึงฝั่งทะเลอ่าว ไทย ที่บ้านวังด้วน ต.ห้วยทราย อ.เมือง ตามแนวละติจูด 11 องศา 43 ลิปดา เหนือ เป็นระยะทาง 10.96 กิโลเมตร ตรง บริเวณที่ตั้งของจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร ตามแนวละติจูด 10 องศา เหนือ ถือได้ว่าเป็นส่วนแคบที่สุดของพื้นที่ แผ่นดินที่เป็นภาคใต้ของไทย และเป็นจุดตั้งต้นของคาบสมุทรมลายู บริเวณพื้นที่ส่วนนั้นเรียกว่า คอคอดกระ มีความ กว้าง 64 กิโลเมตร โดยวัดจากฝั่งแม่น้ำกระบุรี ใน อ.เมือง จ.ระนองถึงฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หลังสวน จ.ชุมพร

    ประเทศไทยมีแนวพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 ประเทศ ได้แก่ พรมแดนด้านพม่า (เมียนมาร์) ยาว 2,202 กิโลเมตร พรมแดนด้านลาว 1,750 กิโลเมตร พรมแดนด้านกัมพูชายาว 798 กิโลเมตร พรมแดนด้านมาเลเซีย 576 กิโลเมตร โดยที่แนวพรมแดนส่วนใหญ่ยึดเอาแนวสันปันน้ำของภูเขา ทางน้ำหรือลำน้ำบริเวณแนวกลางของร่องน้ำที่ไหล แรงที่สุด เรียกว่า ร่องน้ำลึก ยกเว้นพรมแดนในแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสให้ถือเอาเกาะแก่งเป็นของลาวทั้งหมด แม้ว่าจะอยู่ ใกล้ฝั่งไทย (ยกเว้น 8 เกาะ)์
 
1.
แนวพรมแดนระหว่างไทย-สหภาพพม่า หรือเมียนมาร์ ความยาว 2,202 กิโลเมตร ทอดไปตามร่องน้ำลึกของแม่น้ำ รวก แม่น้ำสาย ทิวเขาแดนลาว แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำเมย ทิวเขาถนนธงชัย ทิวเขาตะนาวศรี และแม่น้ำกระบุรี (ปากจั่น) อยู่ในเขตพื้นที่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง


2.
แนวพรมแดนระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ความยาว 1,750 กิโลเมตร ทอดไปตามร่องน้ำลึก ของแม่น้ำโขงตอนบน แม่น้ำเหืองงา แม่น้ำเหือง และแม่น้ำโขงตอนล่าง และทอดไปตามสันปันน้ำในทิวเขาหลวงพระบาง ทางตอนเหนือ และสันปันน้ำในทิวเขาภูแดนลาวทางตอนใต้ อยู่ในเขต จ.เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี
3.
แนวพรมแดนระหว่างไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา ความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร นับจากอ่าวไทยทอดไปตามทิวเขา บรรทัด แม่น้ำไพลิน (หรือห้วยเขมร) คลองลึก คลองด่าน คลองน้ำใส ที่ราบแนวเส้นตรงคลองปากอ้าว (ปากอ่าว) และทิว เขาพนมดงรัก ในเขต จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
4.
แนวพรมแดนระหว่างไทย-สหพันธรัฐมาเลเซีย ความยาว 576 กิโลเมตร ทอดไปตามสันปันน้ำของทิวเขาสันกาลาคีรี ร่องน้ำลึกของแม่น้ำโก-ลก ในเขต จ.สตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส แนวพรมแดนแสดงความเป็นอธิปไตยเหนือพื้นที่ บริเวณนั้น แนวพรมแดนทางธรรมชาติ เหมาะสำหรับกีดขวาง ช่วยในการป้องกันข้าศึกรุกราน แต่ขัดขวางด้านการ คมนาคม ติดต่อค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างมิตรประเทศ ในปัจจุบันนี้แนวพรมแดนจัดว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจ ที่สำคัญของประเทศ เพราะเปิดตลาดทำการค้าขายกันหลายแห่งกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะมีจุดชมวิวที่ สวยงามด้วย บางแห่งมีประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยทั่วไปเป็นจุดที่อยู่ตรงช่องเขาหรือมีแม่น้ำ กั้น

ลักษณะภูมิประเทศโดยรวมของไทยประกอบด้วย เทือกเขา ป่าไม้ เนินเขา ที่ราบสูง ที่ราบหุบเขา ที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำ ใหญ่หลายสาย ทะเล ชายหาด และเกาะแก่งต่าง ๆ

    การแบ่งภาคทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยตามที่กำหนดไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ของราชบัณฑิตสถาน เล่ม 1 ปี 2525 หน้า 3-18 แบ่งออกเป็น 6 ภาค และมีขนาดของพื้นที่ในแต่ละจังหวัดเป็นตารางกิโลเมตร โดยประมาณ ดังนี้
    

1.กรุงเทพฯ1,5652.221
ตร.กม.
2.กำแพงเพชร8,607.490
ตร.กม.
3.ชัยนาท2,469.746
ตร.กม.
4.นครปฐม2,168.327
ตร.กม.
5.นครนายก2,122.000
ตร.กม.
6.นครสวรรค์9,597.677
ตร.กม.
7.นนทบุรี622.303
ตร.กม.
8.ปทุมธานี1,525.856
ตร.กม.
9.พระนครศรีอยุธยา2,556.640
ตร.กม.
10.พิจิตร4,531.013
ตร.กม.
11.พิษณุโลก10,815.854
ตร.กม.
12.เพชรบูรณ์12,668.416
ตร.กม.
13.ลพบุรี6,199.753
ตร.กม.
14.สมุทรปราการ1,004.092
ตร.กม.
15.สมุทรสงคราม416.707
ตร.กม.
16.สมุทรสาคร872.347
ตร.กม.
17.สระบุรี3,576.486
ตร.กม.
18.สิงห์บุรี822.478
ตร.กม.
19.สุโขทัย6,596.092
ตร.กม.
20.สุพรรณบุรี5,358.008
ตร.กม.
21.อ่างทอง968.372
ตร.กม.
22.อุทัยธานี6,730.246
ตร.กม.

ประกอบด้วย 22 จังหวัด เนื้อที่ 91,795.124 ตารางกิโลเมตร
ภาคตะวันตก
 
ประกอบด้วย 5 จังหวัด เนื้อที่ 53,679.018 ตารางกิโลเมตร
1. กาญจนบุรี 19,483.148
ตร.กม.
2. ตาก 16,406.650
ตร.กม.
3. ประจวบคีรีขันธ์ 6,367.620
ตร.กม.
4. เพชรบุรี 6,225.138
ตร.กม.
5. ราชบุรี 5,196.462
ตร.กม.

ภาคตะวันออก หรือ ตะวันออกเฉียงใต้
ประกอบด้วย 7 จังหวัด เนื้อที่ 34,380.500 ตารางกิโลเมตร
1. จันทบุรี 6,338.000
ตร.กม.
2. ฉะเชิงเทรา 5,351.000
ตร.กม.
3. ชลบุรี 4,363.000
ตร.กม.
4. ตราด 2,819.000
ตร.กม.
5. ปราจีนบุรี 4,762.362
ตร.กม.
6. ระยอง 3,552.000
ตร.กม.
7. สระแก้ว 7,195.138
ตร.กม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
ประกอบด้วย 19 จังหวัด เนื้อที่ 168,854.341 ตารางกิโลเมตร
1. กาฬสินธุ์ 6,946.746
ตร.กม.
2. ขอนแก่น 10,885.991
ตร.กม.
3. ชัยภูมิ 12,778.287
ตร.กม.
4. นครพนม 5,512.668
ตร.กม.
5. นครราชสีมา 20,493.964
ตร.กม.
6. บุรีรัมย์ 10,321.885
ตร.กม.
7. มหาสารคาม 5,291.683
ตร.กม.
8. มุกดาหาร 4,339.830
ตร.กม.
9. ยโสธร 4,161.664
ตร.กม.
10. ร้อยเอ็ด 8,299.449
ตร.กม.
11. เลย 11,424.612
ตร.กม.
12. ศรีสะเกษ 8,839.976
ตร.กม.
13. สกลนคร 9,605.764
ตร.กม.
14. สุรินทร์ 8,124.056
ตร.กม.
15. หนองคาย 7,332.280
ตร.กม.
16. หนองบัวลำภู 3,859.086
ตร.กม.
17. อำนาจเจริญ 3,161.248
ตร.กม.
18. อุดรธานี 11,730.302
ตร.กม.
19. อุบลราชธานี 15,744.850
ตร.กม.


ภาคใต้
ประกอบด้วย 14 จังหวัด เนื้อที่ 70,715.187 ตารางกิโลเมตร
1. กระบี่ 4,708.512
ตร.กม.
2. ชุมพร 6,009.008
ตร.กม.
3. ตรัง 4,917.519
ตร.กม.
4. นครศรีธรรมราช 9,942.502
ตร.กม.
5. นราธิวาส 4,475.430
ตร.กม.
6. ปัตตานี 1,940.356
ตร.กม.
7. พังงา 4,170.895
ตร.กม.
8. พัทลุง 3,424.473
ตร.กม.
9. ภูเก็ต 543.034
ตร.กม.
10. ยะลา 4,521.078
ตร.กม.
11. ระนอง 3,298.045
ตร.กม.
12. สงขลา 7,393.889
ตร.กม.
13. สตูล 2,478.977
ตร.กม.
14. สุราษฎร์ธานี 12,891.469
ตร.กม.

ภาคเหนือ
ประกอบด้วย 9 จังหวัด เนื้อที่ 93,690.850 ตารางกิโลเมตร

1. เชียงราย 11,678.369
ตร.กม.
2. เชียงใหม่ 20,107.057
ตร.กม.
3. น่าน 11,472.072
ตร.กม.
4. พะเยา 6,335.060
ตร.กม.
5. แพร่ 6,538.598
ตร.กม.
6. แม่ฮ่องสอน 12,681.259
ตร.กม.
7. ลำปาง 12,533.961
ตร.กม.
8. ลำพูน 4,505.882
ตร.กม.
9. อุตรดิตถ์ 7,838.592
ตร.กม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น